พื้นที่สีเขียวในเมือง ช่วยลดการเสียชีวิตจากความร้อนได้

พื้นที่สีเขียวในเมือง ช่วยลดการเสียชีวิตจากความร้อนได้

พื้นที่สีเขียวในเมืองนั้นสำคัญมากนอกจากจะเปรียบเหมือนปอดของเมืองนั้น  ๆ แล้ว ยังสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพของประชาชนได้อีกด้วย

พื้นที่สีเขียวในเมืองมีบทบาทสำคัญในการลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ตามผลการศึกษาที่ครอบคลุมที่สุดในประเภทนี้

ผลการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวในพื้นที่เมือง อาจช่วยให้ประเทศต่าง ๆ รับมือกับอันตรายจากความร้อน และสามารถทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้นได้

วิกฤตสภาพอากาศส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลของมนุษย์ทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกอุ่นขึ้น

ทุกคนคงทราบกันดีิยู่แล้วว่าประโยชน์ของพื้นที่สีเขียวนั้นมีอะไรบ้าง แต่จนถึงปัจจุบันผู้คนก็รู้น้อยมากเกี่ยวกับผลกระทบต่อความเสี่ยงของสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความร้อน

ในตอนนี้การวิจัยจาก London School of Health and Tropical Medicine แสดงให้เห็นว่าพื้นที่สีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ในเขตเมืองเกี่ยวข้องกับโรค และอัตราการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนลดลง และสุขภาพจิตที่ดีขึ้นรวมไปถึงความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น

นักวิจัยได้เขียนในวารสาร BMJ Open ไว้ว่า “พื้นที่สีเขียวในเมืองมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความร้อน และเป็นกลยุทธิ์ที่มีศักยภาพในการวางผังเมืองเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและยกระดับสุขภาพของประชาชน” และได้กล่าวเสริมว่า

“การวิจัยพื้นที่สีเขียวในเมืองและผลกระทบต่อการป่วยและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อน แสดงให้เห็นว่าพื้นที่สีเขียวในเมือง เช่น สวนสาธารณะและต้นไม้ สามารถส่งผลดีต่อการลดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิสูงได้” และ “การศึกษาวิจัยพบว่าพื้นที่ที่มีพื้นที่สีเขียวมากกว่าจะมีอันตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากความร้อนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่มีพื้นที่สีเขียวน้อยกว่า นอกจากนี้พื้นที่สีเขียวในเมืองยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่อีกด้วย” ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจากอุณหภูมิที่สูงได้อีกด้วย”

ซึ่งทางสหประชาชาติกำหนดให้มีการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยและสามารถเข้าได้ทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับโรคเรื้อรัง ภายในปี พ.ศ.2573

ที่มา

theguardian.com