สหภาพยุโรป (EU) ออกมาเตือน! เหตุการณ์น้ำท่วมและไฟป่าที่รุนแรงขึ้นอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติในอนาคต
เมื่อไม่นานมานี้ยุโรปกลางประสบอุทกภัยครั้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 20 ปี โดยฝนตกหนักจากพายุบอริสที่สร้างความเสียหายตั้งแต่โรมาเนียไปจนถึงโปแลนด์ โดยมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 23 ราย โดย 7 รายอยู่ในโปแลนด์และโรมาเนีย 5 รายในออสเตรีย และ 4 รายในสาธารณะรัฐเช็ก ส่วนผู้สูญหายยังมีอีกจำนวนมาก และมีผู้อพยพออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดหลายหมื่นคน
นายกรัฐมนตรีของโปแลนด์ “โดนัล ทัสก์” ได้ประกาศภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ในส่วนของกระทรวงกลาโหมของประเทศรายงานว่าทหาร 14,000 นายถูกส่งไปประจำการในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมหนัก ส่วนประชาชนในเมือง “Wroclaw” กำลังเสริมความแข็งแรงให้กับแนวตลิ่ง เนื่องจากคาดว่าน้ำจะขึ้นสูงสุดในวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา
“Bratislava” เมืองหลวงของ “Slovakia” ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี ส่งผลให้ประชาชน จำนวนมากต้องอพยพ บางส่วนของเมืองถูกตัดขาดจากน้ำท่วมโดยสมบูรณ์ ซึ่งตอนนี้สภาพอากาศในบางพื้นที่ดีขึ้นแล้ว โดยระดับน้ำเริ่มลดลง ทำให้ทางการสามารถดำเนินการทำความสะอาดได้ แต่อย่างไรก็ตามประเทศอื่น ๆ รวมทั้งฮังการีและโครเอเชีย ยังคงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากคาดว่าจะมีฝนตกหนัก ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำดานูบสูงขึ้นต่อไป
นอกจากนี้พายุบอริสก็ทำให้อิตาลีเกิดฝนตกหนักเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในแคว้น เอมีเลีย - โรมัญญาทางตอนเหนือ
ไอรีน ปริโอโล รักษาการประธานภูมิภาค กล่าวกับสถานีวิทยุสาธารณะว่า ประชาชนราว 1,000 คน ได้รับการอพยพ และในเมืองราเวนนา ที่อยู่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่ได้สั่งอพยพผู้อาศัยชั้นล่างทั้งหมดออกไปแล้ว หน่วยดับเพลิงแห่งชาติของอิตาลีระบุว่า ได้ดำเนินการกู้ภัยในภูมิภาคนี้มากกว่า 500 ครั้ง
มิเชล เดอ ปาสคาล นายกรัฐมนตรีเมืองราเวนนา ได้กล่าวกับสถานีวิทยุ Radio 24 ว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์อุทกภัยร้ายแรงในเดือน พฤษภาคม 2566 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 17 ราย และสร้างความเสียหายมากกว่า 8,000 ล้านยูโร” หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือสาเหตุของน้ำท่วมครั้งใหญ่ในยุโรปกลางหรือไม่?
รองรัฐมนตรีกระทรวงสภาพอากาศของโปแลนด์ “อูร์ซูลา ซารา เซียลินสกา” ได้ตำหนิการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศว่าเป็นสาเหตุของภัยพิบัติในครั้งนี้ เธอได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC อังกฤษว่า หลังจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2540 มีผู้กล่าวว่าภัยพิบัติในระดับนี้เกิดขึ้นเพียง “ครั้งเดียวในรอบหนึ่งพันปี” แต่ในปัจจุบันอุทกภัยครั้งใหญ่เกิดขึ้นเพียง 26 ปีต่อมาเท่านั้น ซึ่งเธอก็ได้กล่าวอีกว่า “มีสาเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเกิดน้ำท่วมในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พายุบอริสพัดถล่มในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเร็วเกินไปที่จะวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์อย่างแน่ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายในครั้งนี้อย่างไร แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศได้เตือนว่าเหตุการณ์ฝนตกหนักเช่นนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากในยุโรปเนื่องจากโลกที่ร้อนขึ้น
ทางผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าทุก ๆ 1 องศาเซลเซียสที่โลกร้อนขึ้น ในชั้นบรรยากาศสามารถกักเก็บไอน้ำไว้ได้มากขึ้น 7% ซึ่งคลื่นความร้อนทางทะเลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอาจส่งผลเช่นเดียวกัน เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว
เมื่ออุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้นจะทำให้น้ำระเหยได้รวดเร็ว ความชื้นในอากาศก็จะมากขึ้นตามไปด้วย และเมื่อมาบรรจบกับอากาศที่อุ่นชื้นกับอากาศเย็นจัด ทำให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการเกิดฝนตกหนัก โดยผู้เชี่ยวชาญ World Weather Attribution เผยว่าคลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่ได้เกิดจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
สภาพอากาศที่เปลี่ยนไปสุดขั้วกำลังกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับยุโรป
ทางสหภาพยุโรปได้ออกมาเตือนว่าอุทกภัยครั้งใหญ่ในยุโรปกลาง และไฟป่าร้ายแรงที่เกิดขึ้นในโปรตุเกส เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่จะกลายเป็นเรื่องปกติหากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน กรรมมาธิการจัดการวิกฤต นาย “จาเนซ เลอนาร์ซิซ” กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาในเมืองสตราบูร์ก เมื่อวันพุธว่า ยุโรปไม่สามารถ “Return to safer past” หรือหมายความถึง ไม่สามารถกลับไปนยุคที่เคยมีความปลอดภัยมากกว่าปัจจุบันได้แล้ว และยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “อย่าเข้าใจผิด โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับอนาคตร่วมกันของเรา”
Nicolò Wojewoda ผู้อำนวยการภูมิภาคยุโรปขององค์กรสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ 350.org กล่าวว่านี่อาจจะเป็น “การเตือนใจครั้งยิ่งใหญ่” อีกครั้งสำหรับผู้นำโลก และเขายังกล่าวอีกว่า “ตอนนี้เรากำลังเห็นคนธรรมดาต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเขาเอง เนื่องจากผู้มีอำนาจตัดสินใจชะลอและขัดขวางการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ พวกเขาต้องประสบกับภัยพิบัติร้ายแรงอีกกี่ครั้งจึงจะสามารถดำเนินขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมในการกำหนดนโยบาย และดำเนินมาตรการเพื่อยุติความทุกข์ทรมานที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันได้”
หากในอนาคตโลกของเรายังไม่เร่งแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดว่าไม่ใช่แค่เพียงยุโรปที่ในอนาคตอาจเกิดสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปสุดขั้วเป็นเรื่องปกติ แต่อาจจะกลายเป็นทั่วโลกที่อาจเผิชญกับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
ที่มา
Comments